ไม่ต้องขายไม่ต้องเข้าอบรม 100%

แค่สมัครก็ได้ 100$ แล้วครับ

หารายได้จากการ upload

Tuesday, October 28, 2008

กลยุทธ์การทำโฆษณา

สวัสดีครับทุกท่าน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับการทำโฆษณา Amazon หวังว่าตอนนี้ทุกโฆษณาของคุณ กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นนะครับ
ซึ่งที่ผ่านมา คุณ ได้รับรู้เทคนิคการทำโฆษณาให้ประสบความสำเร็จในแต่ละขั้นตอนไปเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ผมขอมาพูดถึงกลยุทธ์การทำโฆษณา ที่สำคัญอีก 2 อย่างให้คุณ ได้รับทราบและลองนำไปใช้ดูนะครับ
1. Seasonal Advertising Strategy
คือ กลยุทธ์การทำโฆษณาในช่วงเทศกาลนั่นเองครับ ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะทำให้คุณสร้างรายได้กลับมาจาก Amazon ได้ในจำนวนมากครับ
เพราะสินค้าใน Amazon นั้น เป็นสินค้าประเภท Consumer Products ที่คนทั่วไปมีความต้องการหาซื้อและนำไปใช้ สินค้าแต่ละอย่างก็มีการทำโปรโมชั่นกันทั้งโลก online และ offline เช่น พวกกล้องดิจิตอล โทรทัศน์ มือถือ ต่างๆ ทำให้คนเกิดความต้องการซื้ออยู่เสมอ
โดยเฉพาะในช่วงที่คนจำเป็นต้องซื้อสินค้า หรือ ในช่วงที่มีการลดราคาสินค้ากันเยอะๆ นั้น จะทำให้คนซื้อสินค้ามากเป็นพิเศษครับ ซึ่งถ้าหากเราทำโฆษณาในช่วงเวลาเหล่านั้น เงินทองก็จะไหลมาเทมาที่เราเลยครับ
ช่วงเวลาที่คนจำเป็นต้องซื้อสินค้า เช่น ช่วงเปิดภาคเรียน ช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงวันปีใหม่
ช่วงเวลาที่มีการลดราคาสินค้าเยอะ เช่น ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า จนถึงวันคริสต์มาส หรือ ยิ่งถ้าหากเราสามารถจับกระแสได้ว่า สินค้าอะไรที่กำลังจะกลายเป็นสินค้าขายดี และเริ่มทำโฆษณาก่อนคนอื่นๆ โอกาสในการทำเงินของเราก็สูงเช่นกันครับ

สินค้าที่ขายดีมากในช่วงปี 2006 คือ iPod
สินค้าที่ขายดีมากในช่วงปี 2007 คือ Nintendo Wii
2. Mass Product Selling Strategy
กลยุทธ์การทำโฆษณาแบบนี้ เหมาะสำหรับคนที่มีเงินทุนพอสมควรครับ เพราะเราจะต้องทำโฆษณาสินค้าจำนวนมาก เพื่อให้คนซื้อสินค้าเยอะๆ แม้ว่ากำไรที่ได้ต่อชิ้นอาจจะต่ำ แต่เมื่อรวมกันแล้ว จะกลายเป็นจำนวนเงินที่สูงครับ
และสิ่งที่จะทำให้เราทำเงินได้มากขึ้นก็คือ การที่ Amazon มีการจ่ายค่าคอมมิสชั่นแบบ Performance ครับ กล่าวคือ ถ้าหากเราขายสินค้าได้มากขึ้น ค่าคอมมิสชั่นที่เราได้รับก็จะมากขึ้นด้วยครับ ตั้งแต่ 4% จนถึง 8.5%
เป้าหมายโดยทั่วไปของการทำ Mass Product Selling Strategy คือ การขายสินค้าให้ได้อย่างน้อย 631 ชิ้น เพื่อให้เราได้รับค่าคอมมิสชั่นอย่างน้อย 8% นั่นเองครับ
การทำโฆษณาด้วยกลยุทธ์ Mass Product Selling นี้ จะเป็นการสร้างความมั่นคงในการทำธุรกิจระยะยาวให้กับโฆษณาของเราครับ ดังนั้นพอถึงจุดหนึ่งที่เราเริ่มทำกำไรได้แล้ว เราควรจะเริ่มลองทำ Mass Product Selling นี้ ควบคู่ไปด้วยครับ
เพราะว่า การที่เราได้รับค่าคอมมิสชั่นอย่างน้อย 8% เท่ากับว่า เรามีรายได้และกำไรมากกว่า คนอีกหลายหมื่นคนที่อาจจะเข้ามาทำโฆษณาสินค้าเดียวกับเรา ดังนั้นเราจึงมีศักยภาพในการแข่งขันและมีงบการโฆษณาที่สูงกว่า ทำให้ในระยะยาวแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถเข้ามาแย่งทำโฆษณากับเราได้เลยครับ
---
เป็นอย่างไรบ้างครับกับ 2 กลยุทธ์ที่ผมนำมาฝากกันในวันนี้ ผมหวังว่าเมื่อคุณ เริ่มลองทำโฆษณา Amazon ไปสักระยะและเริ่มทำกำไรได้แล้ว ก็อย่าลืมนำทั้ง 2 กลยุทธ์นี้ไปใช้เพื่อเพิ่มกำไรให้กับคุณ อีกนะครับ
และหวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้เจอกันในวันข้างหน้านะครับ จนกว่าจะถึงวันนั้น ผมขอให้คุณ ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ใจปรารถนาครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ

Monday, October 27, 2008

การวัดผลโฆษณาของ Amazon

สวัสดีครับคุณ
เข้าสู่บทเรียนที่ 4 กันแล้วนะครับ กับ
http://amazon-work.blogspot.com/
จากเนื้อหาทั้ง 3 บท ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าคุณ คงจะได้ลองนำเทคนิคต่างๆ ไปลองปรับปรุงโฆษณาดูแล้วนะครับ ดังนั้นในวันนี้ ผมก็ขอมาพูดถึงเรื่องที่ผมมักจะเน้นย้ำกับทุกคนที่ทำธุรกิจมากว่า ต้องทำ
นั่นก็คือ เรื่องของการวัดผลโฆษณาครับ
เพราะแน่นอนว่า ต่อให้เรามีเทคนิคในการค้นหาสินค้า คิดหาคีย์เวิร์ด และเขียนโฆษณามากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่อาจจะทำกำไรให้กับเราได้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าเราจะได้กำไรมากน้อยแค่ไหน จนกว่าเราจะทำโฆษณาครับ
ซึ่งการทดสอบโฆษณาหลังจากที่เราเริ่มทำโฆษณาไปแล้ว เพื่อดูว่าโฆษณาชิ้นไหนทำเงินให้กับเรานั้น สามารถทำการทดสอบได้ง่าย 3 แบบดังนี้ครับ
1. Commission Break Point
ให้เราวัดผลง่ายๆ เลยว่า ค่าคอมมิสชั่นที่เราจะได้จากการขายสินค้าชิ้นนี้เป็นเท่าไหร่ ถ้าหากเราทำโฆษณาไปแล้วในจำนวนเงินเท่ากัน แล้วยังขายสินค้าไม่ได้เลยสักชิ้น ให้รีบหยุดทำโฆษณาไปเลย เพราะแสดงให้เห็นแล้วว่า โฆษณาต่อไปก็ไม่กำไร
2. Click Break Point
ให้เราตั้งค่าคลิกไว้เป็นมาตรฐานของเราไว้เลยว่า ถ้าหากมีคนคลิกโฆษณาของเราเท่านี้แล้ว ยังขายสินค้าไม่ได้เลย หรือขายได้แล้ว แต่ขาดทุน ก็ให้เราเลิกทำโฆษณาครับ ซึ่งโดยทั่วไปค่ามาตรฐานที่ตั้งกันก็จะอยู่ที่ประมาณ 350 คลิก หรือ 500 คลิก ครับ
3. Time Frame Break Point
ให้เรากำหนดระยะเวลาในการทำโฆษณาเอาไว้เลยว่า ต้องการทำโฆษณากี่วัน กี่สัปดาห์ แล้วพอครบกำหนดเวลา ก็ให้มาดูกันเลยว่า โฆษณาสินค้าของเราทำกำไรได้หรือไม่ ถ้าหากทำไม่ได้ก็ให้หยุดทำโฆษณาทันทีครับ
ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ เราสามารถประยุกต์ใช้ได้ทุกวิธีครับ แล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละคน แต่ถ้าหากให้ผมแนะนำแล้วล่ะก็ วิธีที่ดีที่สุดในตอนเริ่มต้นที่เงินทุนเรายังมีไม่มาก เราควรจะใช้วิธีที่ 1 ในการวัดผลครับ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสขาดทุนน้อยที่สุดครับ
นอกจากนี้ เมื่อเราเจอสินค้าและโฆษณาที่ทำกำไรให้กับเราได้แล้ว อย่าลืมทำการค้นหาต่อไปว่า Keywords ไหนบ้าง ที่ทำเงินให้กับเรามากที่สุด และโฆษณาในช่วงเวลาไหนบ้างที่ทำเงินให้กับเรามากที่สุด
ซึ่งการวัดว่า Keywords ตัวไหนที่ทำเงินให้เราได้นั้น ให้เราทำการสร้าง Tracking ID ใน Amazon ขึ้นมาใหม่ที่แตกต่างกัน แล้วนำไปทำโฆษณาใน Keywords แต่ละตัว เพียงเท่านี้เราก็จะทราบได้แล้วครับว่า Keywords ตัวไหนที่ทำเงินเข้ากระเป๋าคุณ และ Keywords ตัวไหนที่ดูดเงินออกจากกระเป๋าคุณ
และสุดท้าย


อย่าลืมหมั่นดู Report ของทั้ง Amazon และ PPC อย่างสม่ำเสมอครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไหน ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ยิ่งเรารู้ข้อมูลเยอะ เรายิ่งได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นๆ อีกเยอะครับ


อย่าลืมวัดผลทุกวันนะครับ

Sunday, October 26, 2008

การเขียนข้อความโฆษณาสินค้าใน Amazon

สวัสดีครับ ทุกท่านวันนี้ก็มาพบกันอีกตามเคย

หวังว่าคงจะได้นำความรู้จากบทเรียน 1 และ บทเรียน 2 ไปลองใช้แล้วนะครับ
สำหรับในวันนี้ เราก็จะมาพูดถึง เรื่องการเขียนข้อความโฆษณาสินค้าใน Amazon กันครับ เพราะอย่างที่คุณ คงทราบดีว่า ข้อความโฆษณานี้ ถ้าหากเราเขียนได้ดี มีคนสนใจและคลิกโฆษณามาก เราจะยิ่งจ่ายค่าโฆษณาน้อยลงครับ
และอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรทราบก็คือ ยิ่งเราเขียนโฆษณาได้เจาะจงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คนที่คลิกโฆษณาของเรา มีเปอร์เซ็นต์ที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นเท่านั้นครับ

ซึ่งส่วนประกอบของโฆษณา PPC โดยทั่วไปก็จะประกอบไปด้วย
Headline, Description, Display URL

ซึ่งแต่ละส่วนมีหลักสำคัญๆ ในการเขียนดังนี้

หลักการเขียน Headline

พยายามนำ Keywords ใส่ไว้ใน Headline เสมอๆ เพราะจะทำให้โฆษณาของเราโดดเด่น สะดุดตา เวลาที่มีคนค้นหา
ถ้าเป็นไปได้ ให้เราใส่ชื่อรุ่น หรือ ชื่อสินค้าลงไปด้วย เพราะจะทำให้ผู้ที่อ่านโฆษณารู้ได้ทันทีว่า สินค้าที่เราทำโฆษณานั้น เป็นสิ่งที่เค้าสนใจหรือเปล่า

หลักการเขียน Description

ใส่รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ของสินค้า เพื่อให้คนอ่านตัดสินใจได้ง่ายว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ
เขียนบรรยายถึงลักษณะและคุณภาพของสินค้า เพื่อทำให้คนอ่านเกิดภาพวาดของสินค้าขึ้นในจิตใจ จะทำให้คลิกโฆษณาและซื้อได้ง่ายขึ้น
เขียนส่วนลดราคาสินค้า (ถ้าหากสินค้าลดราคาเยอะมากๆ)
ควรจะจบด้วย Call To Action เพื่อให้ผู้อ่านโฆษณาต้องการคลิกโฆษณาไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม

หลักการเขียน Display URL
ควรจะลองเขียนเปรียบเทียบระหว่าง www.Amazon.com กับ www.amazon.com เพื่อดูว่าแบบไหนจะดึงดูดให้คนคลิกโฆษณามากกว่ากัน
ควรจะลองเขียน sub directory ต่อท้าย URL เพื่อแสดงความเจาะจงว่า เมื่อคลิกโฆษณาแล้ว จะเข้าไปเจอสินค้าอะไร เช่น www.amazon.com/toro1800

และข้อแนะนำสุดท้ายสำหรับการเขียนโฆษณา ที่คุณ ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ คือ การเขียนโฆษณาใหม่ขึ้นมาทดสอบอยู่เสมอ เพื่อให้เราหาโฆษณาที่ดี มีคนสนใจมากขึ้น มาทำโฆษณาได้เรื่อยๆ ครับ


สู้ๆ ครับ

นัท http://amazon-work.blogspot.com/

Saturday, October 25, 2008

การหา Keywords มาทำโฆษณา

สวัสดีครับ ทุกท่าน

เมื่อวานนี้มีคนถามกันเข้ามามากพอสมควรเกี่ยวกับเรื่องการสมัคร Amazon eClass

วันที่ เราก็มาพูดคุยกับถึงเรื่องการหา Keywords มาทำโฆษณากันดีกว่านะครับ
เนื่องจากถ้าหากเราต้องการทำโฆษณาสินค้า Amazon ผ่านทาง PPC แล้ว การหา Keywords นั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญกับเรามากๆ ครับ เราสามารถเปรียบ Keywords ได้กับทรัพย์สินของเราเลยทีเดียว เพราะถ้าหากเราหา Keywords ที่ดีมาทำโฆษณาสินค้าและทำกำไรให้เราได้ เราก็จะสบายไปได้ชั่วชีวิตเลยทีเดียว
ทีนี้ Keywords ที่ดี คืออะไร?

คนส่วนมากจะมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก เพราะคนทั่วไปจะคิดว่า Keywords ที่ดี คือ Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะและคลิกเยอะ แต่ความจริงแล้ว Keywords ที่ดี และเหมาะสมในการทำโฆษณาจริงๆ ก็คือ Keywords ที่มีอัตราคนซื้อสินค้าสูงครับ (Conversion Rate และ ROI สูง)
เพราะคงจะไม่มีใครอยากจะให้โฆษณาของเรามีคนเห็นเยอะ คลิกเยอะ แต่ไม่มีคนซื้อ อย่างแน่นอน ถูกต้องไหมครับ
และเนื่องจากเราได้ค่าคอมมิสชั่นจาก Amazon ประมาณ 4% - 8.5% เท่านั้น ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้วก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องประหยัดงบโฆษณาให้มากที่สุด ด้วยการเลือก Keywords ที่มีคนซื้อมากๆครับ (ไม่ใช่คลิกมากๆ แต่ไม่ซื้อ)
ซึ่ง Keywords เหล่านั้น ก็คือ Buying Keywords นั่นเองครับ
โดยเราสามารถคิดค้นและค้นหา Buying Keywords เหล่านี้ได้จาก

1. Brain Storming
ให้เราทำการสำรวจรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า ทั้งหมวดหมู่สินค้า ชื่อรุ่น ชื่อยี่ห้อต่างๆ ที่เราสามารถนำมาใช้เป็น Keywords ได้ ก็ให้นำมาใช้ครับ เพราะ Keywords เหล่านี้ มีเปอร์เซ็นต์ที่คนค้นหาแล้วจะซื้อสูงครับ

2. Keyword Tools
ให้เราลองค้นหา Keywords อื่นๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะ Keywords ที่คนทำการค้นหาบน Google ด้วยเครื่องมือฟรีที่ทาง Google จัดหามาให้ครับ และแน่นอนให้เราดูด้วยว่า แต่ละ Keywords นั้น มีคนค้นหาต่อวัน ต่อเดือนเป็นจำนวนเท่าไหร่ คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำมาทำโฆษณาครับ
=> https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
และนอกจากนั้น เราก็ควรจะศึกษาแนวโน้มและความนิยมในแต่ละ Keywords ด้วยว่า Keywords ไหนมีคนค้นหามากน้อย ในช่วงเวลาใดครับ ด้วยบริการฟรีจาก Google อีกเช่นกัน
=> http://www.google.com/insights/search/

3. ทำการสร้างกลุ่ม Keywords
ที่จะมีคนซื้อสินค้ามากขึ้น ด้วยการเติมคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้า เช่น buy, cheap, best prices, cheap price ลงไปให้กับ Keywords ที่เราเลือกไว้ครับ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะเติมด้วยตนเองก็ได้ แต่ก็อาจจะเสียเวลามากหน่อย หรือเราอาจจะใช้เครื่องมือในการเติมคำเหล่านี้ลงไปก็ได้
=> http://www.keywordcool.com

เพียงเท่านี้ Keywords ที่คุณ หามาได้ ก็จะกลายสภาพเป็น Buying Keywords ที่พร้อมจะมีคนซื้อเยอะแล้ว ให้ลองทำไปทำโฆษณาได้เลยครับ

แล้วพบกันใหม่วันพรุ่งนี้ครับ

Friday, October 24, 2008

Amazon Associates และ การเริ่มต้นทำธุรกิจกับ Amazon

สำหรับบทเรียนในวันนี้ ผมจะพาคุณ ไปทำความรู้จักกับ Amazon Associates และ การเริ่มต้นทำธุรกิจกับ Amazon ครับ เพราะคุณ อาจจะยังสงสัยอยู่ว่า เราซึ่งเป็นคนไทยนี้ จะเข้าไปร่วมทำธุรกิจกับ Amazon ได้อย่างไร
ปรกติคุณ คงจะรู้จักเว็บไซต์ Amazon.com ดีอยู่แล้ว

ว่า เป็นเว็บไซต์ขายสินค้าปลีกรายใหญ่ของโลก โดย Amazon มียอดขายประมาณ 10.7 พันล้านดอลล่าร์ ในปีที่ผ่านมา จากการขายสินค้านับล้านๆ ชิ้นให้กับคนทั่วโลกครับ
และคุณ เชื่อหรือไม่ว่า คุณสามารถมีส่วนแบ่งในยอดขาย 10.7 พันล้านดอลล่าร์ของ Amazon ได้ด้วย เพียงแค่คุณ สมัครเป็น Affiliate และเริ่มทำโฆษณาสินค้าให้กับเว็บไซต์ Amazon.com ครับ
โปรแกรมการร่วมทำธุรกิจกับ Amazon โดยการเป็นตัวแทนโฆษณานี้มีชื่อว่า Amazon Associates ครับ ซึ่งเราทุกคนสามารถสมัครเข้าร่วมได้ฟรี จากนั้นเราก็เพียงทำโฆษณาสินค้าให้กับ Amazon บนโลกออนไลน์ พอมีใครเข้ามาซื้อสินค้าผ่านการแนะนำของเรา ทาง Amazon ก็จะจ่ายเงินค่าคอมมิสชั่นกลับมาให้เราครับ
ซึ่งค่าคอมมิสชั่นที่เราจะได้จากการขายสินค้าให้กับ Amazon คือ 4%-15% ขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนสินค้าที่ขายได้ในแต่ละเดือนครับ

Thursday, October 23, 2008

สอนให้รวยด้วย amazon




หนังสือที่มีค่าที่สุดที่คุณเห็นอยู่นี้ จะช่วยให้คุณรู้จักและเข้าใจกับระบบสร้างรายได้ (หรือระบบทำเงิน) ของ Amazon Associates หรือ Amazon Affiliate Programe มากยิ่งขึ้นโดยในหนังสือผมได้อธิบายด้วยคำพูดที่เป็นภาษาพูด ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำในระยะยาวได้ตลอดไป
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ผมได้นำเอาวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ในการสร้างรายได้จาก Amazon Associates ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนสามารถเริ่มสร้างรายได้ ได้ด้วยตนเองที่บ้านของคุณกันเลยครับ โดยผมเขียนจากประสบการณ์ตรงของผมตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นกับ อเมซอน (Amazon.com) จนเกิดรายได้ถึงขณะนี้
ผมหวังอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้มือใหม่ หรือ มือเก่าที่ได้เริ่มสร้างรายได้กับ Amazon Associates มานั้นเข้าใจถึงหลักการ การทำงานและเทคนิคต่าง ๆ ในการสร้างรายได้ให้กับตนเองมากขึ้น และผมก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยกระตุ้น ให้หลาย ๆ ท่านเกิดแรงบันดาลใจด้วยการเห็นว่าการสร้างรายได้ด้วย Amazon แบบไม่ต้องลงทุนนั้นไม่ได้ยากอะไรเลย และสามารถทำได้จริง วางแผงแล้วครับพี่น้องครับ ยังไงก็ฝากไว้ในใจด้วยสักเล่มหนะครับ (นึกว่าสงสารนักเขียนตาดำ ๆ คนนี้เถอะหนะครับ) สามารถหาซื้อหรือสั่งจองได้ที่ร้านหนัง

Wednesday, October 22, 2008

ปัจจัยในความสำเร็จ

แม้ว่า Amazon ยังไม่สามารถทำกำไรได้ในปัจจุบัน บริษัทก็สามารถขยายธุรกิจและเพิ่มยอดขายจากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ
การมีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักทั่วไป ชื่อเสียงของ Amazon เกิดจากปัจจัยหลายประการประกอบกันเช่น การเป็นผู้บุกเบิก ในตลาดดังกล่าว การลงทุนโฆษณาผ่านสื่อทั่วไปและสื่อออนไลน์ และการจำหน่ายหนังสือในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด
การมีพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการขายและการบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพทั้ง พันธมิตรที่เป็นผู้ค้าส่งหนังสือ และผู้จัดส่งสินค้า เนื่องจากบริษัทต้องพึ่งพาพันธมิตรเหล่านี้ในการจัดหาและนำส่งสินค้า ให้กับลูกค้า
การบริหารคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถรองรับการสั่งซื้อสินค้าในช่วงฤดูกาลต่างๆ เช่น ช่วงคริสต์มาส ซึ่งมีการสั่งซื้อเข้ามามาก Amazon พยายามลดความเสี่ยงในเรื่องของสินค้าขาดมือด้วยการซื้อสินค้าโดยตรงจาก โรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของมูลค่าการซื้อทั้งหมด จากเดิมที่เคยซื้อจากผู้ค้าปลีกเพียง 3 บริษัทเท่านั้น

Tuesday, October 21, 2008

จุดเด่นในการประกอบธุรกิจ

จุดเด่นของ Amazon คือการใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการขายหนังสือถูกกว่าร้านหนังสือทั่วไป โดยทุกๆ วันบริษัทจะ ลดราคา 50% สำหรับหนังสือที่ติดอันดับขายดีของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ (New York Times Best Sellers) และลดราคา 40% สำหรับหนังสืออีกหลายร้อยเล่ม
อย่างไรก็ตาม ลำพังกลยุทธ์ทางราคาจะทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งเป็นผลเสียแก่บริษัทเอง กลยุทธ์ที่สำคัญ อีกประการหนึ่งที่บริษัทใช้คือการให้บริการลูกค้า (customer service) ที่เป็นเลิศ ซึ่งช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า ในการซื้อสินค้าจากบริษัท ตัวอย่างของบริการดังกล่าวได้แก่
การสร้างความรู้สึกเหมือนได้เลือกซื้อหนังสือในร้านค้าจริง โดย Amazon จะให้รายละเอียดต่างๆ ของหนังสือ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น คำนำ ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ปีที่ผลิต จำนวนหน้า เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการ ที่หาไม่ได้ในร้านหนังสือทั่วไป เช่น การจัดอันดับหนังสือทุกเล่ม บทวิจารณ์หนังสือของลูกค้า ตลอดจนบริการอื่นๆ ซึ่งช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าต่อบริษัทเช่น บริการห่อของขวัญและการส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์
การแนะนำหนังสือให้แก่ลูกค้า โดยบริษัทจะใช้ข้อมูลความสนใจของลูกค้าไปเปรียบเทียบกับกลุ่มลูกค้าที่มีความ สนใจที่คล้ายคลึงกัน แล้วใช้ผลการเปรียบเทียบดังกล่าวแนะนำหนังสือที่ตรงกับรสนิยมในการอ่านของลูกค้า ซึ่งช่วย เพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังให้ลูกค้าสามารถเลือกหนังสือที่ตนต้องการได้รับเป็น ของขวัญจากผู้อื่นในเทศกาลต่างๆ (Wish List) ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการทำการตลาด
การสร้างความสะดวกและรวดเร็วในการซื้อหนังสือ โดยสามารถค้นหาหนังสือจากรายชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง หรือคำสำคัญ (Key Word) อื่นๆที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาระบบการสั่งซื้อที่เรียกว่า 1-Click Buying ซึ่งทำให้สามารถสั่งชื้อสินค้าได้โดยการคลิกเพียง 1 ครั้ง ก่อนการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ลูกค้าจะต้องลงทะเบียน เพื่อขอใช้บริการและสร้างบัญชีส่วนตัว โดยให้รายละเอียดต่างๆที่จำเป็น เช่น สถานที่ส่งสินค้า ผู้รับ วิธีการจ่ายเงิน วิธีการส่งสินค้า และข้อมูลอื่นๆให้เรียบร้อย หลังจากนั้นลูกค้าก็เพียงแต่ระบุผู้รับและสั่งซื้อหนังสือเท่านั้น ในกรณีที่ลูกค้าต้องการส่งของขวัญให้แก่ผู้อื่นและทราบเฉพาะอีเมล์ของผู้รับ ลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการ 1-Click ได้ โดยบริษัทจะติดต่อกับผู้รับเพื่อสอบถามที่อยู่ของผู้รับ
การให้บริการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ทั้งทางอีเมล์และทางโทรศัพท์ นอกจากนี้ในกรณี ที่ลูกค้าไม่พอใจในหนังสือ บริษัทจะรับคืนหนังสือดังกล่าวภายใน 30 วัน

Monday, October 20, 2008

ขั้นตอนในการปะกอบธุรกิจ

ขั้นตอนในการปะกอบธุรกิจ

ขั้นตอนการซื้อหนังสือผ่าน Amazon มีดังต่อไปนี้

1. เมื่อลงทะเบียนเป็นสมาชิกของ Amazon แล้ว ลูกค้าสามารถสืบค้นสินค้าต่างๆ ตามที่ต้องการ
2. เมื่อพบสินค้าที่ต้องการ ลูกค้าสามารถที่จะดูข้อมูลเบื้องต้นของสินค้า เช่น ผู้แต่ง ราคา สารบัญ คำนำ บทวิจารณ์ และสำนักพิมพ์ เป็นต้น
3. เมื่อลูกค้าตกลงใจที่จะซื้อสินค้าโดยการเลือกสินค้าใส่ตะกร้า (Add to Cart) ลูกค้าจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว อย่างไรก็ตามลูกค้าที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ข้อมูลในส่วนนี้เพิ่มเติมอีก
4. เมื่อได้ข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนแล้ว บริษัทจะแสดงราคารวมทั้งหมดซึ่งรวมค่าส่ง (Shipping and Handling) และภาษี (Tax) โดยลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษี หลังจากนั้นลูกค้าจะต้องกรอกหมายเลขบัตรเครดิต
5. เมื่อลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะแจ้งรหัสการสั่งสินค้าให้แก่ลูกค้า เพื่อใช้อ้างอิงในการติดตาม ความก้าวหน้าของการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งสินค้า
6. เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าแล้ว ข้อมูลคำสั่งซื้อดังกล่าวจะถูกส่งให้ศูนย์กระจายสินค้าของ Amazon ซึ่งจะเป็น ผู้จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า โดยการจัดส่งสินค้าจะใช้บริการจากบริษัทขนส่งพัสดุต่างๆ เช่น บริษัท UPS และ ไปรษณีย์สหรัฐฯ เป็นต้น
7. ในกรณีที่ศูนย์กระจายสินค้าไม่มีสินค้าอยู่ในคลังสินค้า ข้อมูลการสั่งซื้อจะถูกส่งอย่างอัตโนมัติไปยัง ซัพพลายเออร์ซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งหนังสือรายใหญ่ เช่น InGram ให้จัดส่งสินค้าโดยตรงให้แก่ลูกค้า

Sunday, October 19, 2008

amazon

Amazon.com, Inc (www.amazon.com) เป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทเริ่มดำเนินการ ตั้งแต่ปี 1995 จากการขายหนังสือและขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ เช่น ซีดี ดีวีดี วิดีโอเทป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้บริษัทได้ขยายสู่ธุรกิจประเภทอื่น เช่น ตลาดประมูลสินค้าหายากและ ของสะสมต่างๆ ในปัจจุบันบริษัทมีรายชื่อหนังสือ เพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น เกมส์ และโปรแกรม คอมพิวเตอร์ขายรวมกันมากกว่า 1.8 หมื่นล้านรายการ Amazon ยังขยายธุรกิจไปในต่างประเทศอีก 4 ประเทศ คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น
ในปี 1999 บริษัทมีลูกค้ามากกว่า 17 ล้านรายกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศ และมีรายได้จาก การประกอบธุรกิจถึง 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 1998 และ 1997 ตามลำดับ
สินค้าของ Amazon ที่มีการซื้อขายมาก ได้แก่ หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอม พิวเตอร์ ตุ๊กตา ของเล่น ของที่ระลึก เครื่องแก้ว เครื่องประดับ และอื่นๆ

Saturday, October 18, 2008

สร้างความเป็นต่อเหนือคู่แข็ง


สวัสดีครับวันนี้ผมจะมา Update เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ให้ทันคู่แข็งหรือเหนือกว่าคู่แข็งในยุคเทคโนโลยี ซึ่งอำนวยหรือให้โอกาสกับผู้ที่ไม่หยุดนิ่งและมีมุมมองที่เปิดกว้าง ในการก้าวสู่จุดที่ดีกว่าโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุดจากการทำงานส่วนตัวที่ผ่านมาทำให้ทราบอะไรหลายอย่าง จากบุคคลที่แตกต่างจากสังคมเดิม ซึ่งมีมุมมองเหมือนกับเราที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องการใช้ชีวิต กิจกรรม หรือแนวคิดในเรื่องของงานจะคิดไม่ต่างกันนักแต่วันหนึ่งผมได้มีโอกาสพบปะกับบุคคลใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ แนวคิดและมุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อการทำงานและธุรกิจคนกลุ่มนี้ให้แนวคิดและการพัฒนาตนเอง สู่การเรียนรู้เพื่อลดต้นทุนในอนาคต ลงทุนเพื่อตนเองไม่ต้องรอให้คนอื่นมาผลักดัน เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวผลักดันเราคือ เป้าหมายในอนาคตของเราเอง ถ้าเป็นเป้าหมายในงานประจำก็อาจจะมีคนกำหนดให้เราต้องเรียนรู้อะไรบ้าง และลงทุนให้เราเพื่อเป้าหมายเขา แต่ถ้าเรามีเป้าหมายของเราเองต่ออนาคตของเราเอง เราต้องวางแผนการเรียนรู้ของตัวเองว่าจะเรียนรู้อะไรในการที่จะนำเราสู่เป้าหมายของเราที่ตั้งใว้ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครที่ไหนมาลงทุนให้เรา ฉนั้นในฐานะที่เราเป็นเจ้าของชีวิตของเราเอง อนาคตของเราจะมีค่าแค่ไหนโดยแต่ก่อนการจะซื้อหนังสือซักเล่มเพื่อความรู้หรือพัฒนาตนเอง คิดแล้วคิดอีกแต่พอหนังสือเพื่อความบันเทิงซื้อโดยไม่คิดว่าถูกหรือแพง ซึงแตกต่างกันมากทั้งที่หนังสือแนวความรู้คือพิมล์เขียวของการสร้างสะพานชีวิตแต่เราให้ค่าความสำคัญน้อยมากหลังจากที่ได้คุยกับคนที่เขาทำอะไรหลายอย่างที่ต่างจากเรา และเขามีสิ่งที่เรายังไม่มีโดยที่เขาทำในสิ่งที่เรายังไม่ได้








ทำหรือทำน้อยมาก คือการลงทุนเพื่อตัวเอง ไม่ว่าการซื้อหนังสือมาอ่านจำนวนเยอะมากที่เขาอ่าน และการนำพาตัวเองสู่สังคมของคนที่ชอบการเรียนรู้ การสัมนาหรือที่ประชุมต่างๆที่ไม่ฟรีแน่นอน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หลังจากที่ผมได้ลองทำอะไรหลายๆอย่าง ก็ได้พบความเปลี่ยนแปลงคือเราสามารถทำในสิ่งที่คนเหล่านั้นทำสำเร็จมาแล้ว ได้ในเวลาไม่นานนักทั้งที่คนสอนใช้เวลาเรียนรู้เรื่องนั้นเป็นปีๆ แต่เขานำมาถ่ายทอดเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง เราก็ทำได้ใกล้เคียงกับเขาแต่เราก็ต้องฝึกให้ชำนาญเพิ่มขึ้นเพื่อก้าวสู่จุดต่อไป ซึ่งก็ใช้พื้นฐานเดิมนั่นเองมันเป็นมุมมองเหมือนการซื้อแผนที่เพื่อเดินทาง ถ้าเรามองภาพรวมออกเราจะรู้ว่าเราควรจะเดินไปทางไหน เส้นทางไหนเดินแล้วใช้เวลาและทรัพยากรน้อยที่สุด ในการถึงเป้าหมายหรือจะหลงทางจนหมดแรงเดินสิ้นลมในเส้นทางสายใหญ่ของชีวิต เป็นแค่หนึ่งมุมมองเท่านั้นครับสวัสดีครับความรู้หรือแนวคิด


การสร้างโอกาส


Monday, October 6, 2008

การหาเงินบน Internet ได้จริงหรือ

การหาเงินบน Internet ได้จริงหรือสวัสดีครับเพื่อนๆที่ผ่านมา ตามหัวข้อนะครับใครได้อ่าน หรือได้เห็นคงจะเคยชินกันบ้างไม่มากก็น้อย ว่าการทำรายได้ผ่านเน็ทนี่มันทำได้จริงๆหรือ และถ้าทำได้เขาทำกันแบบไหนกัน และเราจะสังเกตุยังไงว่าสามารถทำได้จริงๆ โดยที่เราจะไม่ถูกหลอกให้ไปเสียเงินเสียอย่างงั้นครับด้วยโจทย์ที่ว่าในยุคนี้เราจะหาเงินได้จากทางไหนได้บ้าง โดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุดในฐานะที่เราก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด และเงินทุนมีอย่างจำกัดหรือกระทั่งติดลบก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่ควรมีคือต้นทุนทางความคิดและความฝัน ถ้าเรามีความฝันว่าเราจะทำเงินบน Internet ให้ได้ เราจะเริ่มทำตามความฝันของเราที่จะหาช่องทาง ที่จะทำให้ได้มาซึ่งความฝันนั้นแม้บางครั้งจะมีเผลอใจหรือทำในสิ่งที่ผิดไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะข้อมูลเรายังน้อย เพราะผมก็เคยลองมาหลายวิธีในการทำเงินบน Internet เช่น ที่ได้ยินกันบ่อย คลิกโฆษณาหรืออ่าน Email ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันก็ได้อยู่ครับเงิน แต่สำหรับผมมันได้น้อยเกินไปไม่คุ้มกับเวลาที่ลงไป และต้องเสี่ยงกับการถูกโกง ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่าคือการหลอกลวง แต่ความเสี่ยงสูงเท่านั้นเองในการทำธุระกิจและหลังจากผมเสียเวลาไปกับการอ่าน Mail คลิกโฆษณาอยู่ 1-2 ปี ทำให้ผมคิดว่าต้องมีวิธีอื่นอีกสิ ส่วน MLM ที่โฆษณาใน Internet ก็คงไม่เหมาะ แต่วันหนึ่งฝันของผมเริ่มมีความหวังเมื่อผมไปเจอหนังสือชื่อ Google Make Me Rich ผมอ่านแค่บทนำนี่แหล่ะใช่เลย สิ่งที่ผมหามาตลอดกับธุระกิจ Affiliate Marketing ที่1.ไม่ต้องมีเว็ปไซด์เป็นของตัวเอง2.ไม่ต้องลงทุนสร้างหน้าร้าน3.ไม่ต้องปวดหัวเรื่องการจัดเก็สินค้า4.ไม่ต้องทำเรื่องจัดส่ง5.ไม่มีต้นทุนค่าดำเนินการที่สูงซึ่งเป็นอะไรที่คนธรรมดาอย่างผมพอจะสามารถทำได้ โดยก็ใช้เงินลงทุนเหมือนกันแต่ต่ำมากสำหรับการที่เราจะสร้างธุระกิจ และเป้าหมายของผมสำคัญมากผมต้องตั้งเป้าใว้ 2-5 ปี ผมต้องประสพความสำเร็จในธุระกิจนี้ให้ได้ ไม่ได้คิดแค่จะทำเป็นรายได้เสริมหรือยามว่าง แต่มันคือธุระกิจของผมเองและอะไรที่ผมจะเพิ่มหรือพัฒนาก็จะต้องทำครับสำหรับการเริ่มต้นก็ง่ายๆครับ แค่ผมรู้ว่าจะต้องมีอะไรบ้าง1.ผมต้องเปิด Account กับ Google Adword เสียก่อน โดยลงทุนเสียค่าเปิด $5 หรือประมาณ 200 บาท สำหรับเปิดร้านของเราครับ สมมุติผมสามารถขายสินค้าผมได้ทั่วโลกซัก 100 ประเทศ เอาไปหาร 200 บาท จะได้ประเทศละ 2 บาทสำหรับการเริ่มต้นครับ ไม่มีอะไรถูกว่านี้แล้วครับค้าขายกับต่างประเทศ ด้วยเงินเริ่มต้นติดต่อประเทศละ 2 บาท2.ไปสมัครเป็นตัวแทนขายสินค้าที่เราจะนำสินค้าของเขาไปขาย ก็มีหลักๆ ClickBank, CJซึ่งเป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมาก ว่าเราขายสินค้าให้เขาแล้วเราจะไม่ถูกโกงแน่นอน และนำ Link ของเขาไปโฆษณา ขายได้เราได้ค่าคอม อันนี้แล้วแต่บริษัทว่ามีอัตราการจ่ายเท่าไหร่ครับ
สนใจข่าวสารเกี่ยวกับการสร้างรายได้ Online เข้าไปที่

http://howtoadword.blogspot.com/

Sunday, October 5, 2008

สร้างความเป็นต่อเหนือคู่แข็ง

สวัสดีครับวันนี้ผมจะมา Update เกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ให้ทันคู่แข็งหรือเหนือกว่าคู่แข็งในยุคเทคโนโลยี ซึ่งอำนวยหรือให้โอกาสกับผู้ที่ไม่หยุดนิ่งและมีมุมมองที่เปิดกว้าง ในการก้าวสู่จุดที่ดีกว่าโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุดจากการทำงานส่วนตัวที่ผ่านมาทำให้ทราบอะไรหลายอย่าง จากบุคคลที่แตกต่างจากสังคมเดิม ซึ่งมีมุมมองเหมือนกับเราที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องการใช้ชีวิต กิจกรรม หรือแนวคิดในเรื่องของงานจะคิดไม่ต่างกันนักแต่วันหนึ่งผมได้มีโอกาสพบปะกับบุคคลใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ แนวคิดและมุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อการทำงานและธุรกิจคนกลุ่มนี้ให้แนวคิดและการพัฒนาตนเอง สู่การเรียนรู้เพื่อลดต้นทุนในอนาคต ลงทุนเพื่อตนเองไม่ต้องรอให้คนอื่นมาผลักดัน เพราะสิ่งที่จะเป็นตัวผลักดันเราคือ เป้าหมายในอนาคตของเราเอง ถ้าเป็นเป้าหมายในงานประจำก็อาจจะมีคนกำหนดให้เราต้องเรียนรู้อะไรบ้าง และลงทุนให้เราเพื่อเป้าหมายเขา แต่ถ้าเรามีเป้าหมายของเราเองต่ออนาคตของเราเอง เราต้องวางแผนการเรียนรู้ของตัวเองว่าจะเรียนรู้อะไรในการที่จะนำเราสู่เป้าหมายของเราที่ตั้งใว้ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครที่ไหนมาลงทุนให้เรา ฉนั้นในฐานะที่เราเป็นเจ้าของชีวิตของเราเอง อนาคตของเราจะมีค่าแค่ไหนโดยแต่ก่อนการจะซื้อหนังสือซักเล่มเพื่อความรู้หรือพัฒนาตนเอง คิดแล้วคิดอีกแต่พอหนังสือเพื่อความบันเทิงซื้อโดยไม่คิดว่าถูกหรือแพง ซึงแตกต่างกันมากทั้งที่หนังสือแนวความรู้คือพิมล์เขียวของการสร้างสะพานชีวิตแต่เราให้ค่าความสำคัญน้อยมากหลังจากที่ได้คุยกับคนที่เขาทำอะไรหลายอย่างที่ต่างจากเรา และเขามีสิ่งที่เรายังไม่มีโดยที่เขาทำในสิ่งที่เรายังไม่ได้







ทำหรือทำน้อยมาก คือการลงทุนเพื่อตัวเอง ไม่ว่าการซื้อหนังสือมาอ่านจำนวนเยอะมากที่เขาอ่าน และการนำพาตัวเองสู่สังคมของคนที่ชอบการเรียนรู้ การสัมนาหรือที่ประชุมต่างๆที่ไม่ฟรีแน่นอน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หลังจากที่ผมได้ลองทำอะไรหลายๆอย่าง ก็ได้พบความเปลี่ยนแปลงคือเราสามารถทำในสิ่งที่คนเหล่านั้นทำสำเร็จมาแล้ว ได้ในเวลาไม่นานนักทั้งที่คนสอนใช้เวลาเรียนรู้เรื่องนั้นเป็นปีๆ แต่เขานำมาถ่ายทอดเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง เราก็ทำได้ใกล้เคียงกับเขาแต่เราก็ต้องฝึกให้ชำนาญเพิ่มขึ้นเพื่อก้าวสู่จุดต่อไป ซึ่งก็ใช้พื้นฐานเดิมนั่นเองมันเป็นมุมมองเหมือนการซื้อแผนที่เพื่อเดินทาง ถ้าเรามองภาพรวมออกเราจะรู้ว่าเราควรจะเดินไปทางไหน เส้นทางไหนเดินแล้วใช้เวลาและทรัพยากรน้อยที่สุด ในการถึงเป้าหมายหรือจะหลงทางจนหมดแรงเดินสิ้นลมในเส้นทางสายใหญ่ของชีวิต เป็นแค่หนึ่งมุมมองเท่านั้นครับสวัสดีครับความรู้หรือแนวคิด

การสร้างโอกาส

http://howtoadword.blogspot.com/2007/08/blog-post.html

Friday, October 3, 2008

ความฝันทำให้มีเป้าหมาย

สวัสดีครับเพื่อนๆหลังจากห่างหายไปนาน เพราะงานยุ่งเหลือเกิน แต่ตอนนี้ก็พอได้พักหายใจบ้างแล้วก็มา Update กันหน่อย ตามหัวข้ออยู่ๆโผล่มาบอกมีฝันมีเป้าหมายอาจจะแปลกๆสำหรับบางคน แต่สำหรับคนที่ทำธุรกิจแล้วมันสำคัญมากกับความฝัน เพราะจุดเริ่มต้นหลายๆอย่างก็มาจากความฝันนี้แหล่ะครับ เพราะเราจะทำตามความฝันเราจึงต้องตั้งเป้าหมาย เพราะการจะก้าวกระโดดไปถึงฝันนั้นไม่ใช่จะก้าวทีเดียวถึง เพราะมันจะทำให้เราเหนื่อยและท้อแล้วเราก็ยอมจำนนต่อความฝันของเราไปได้ ฉนั้นเพื่อที่จะไม่ให้ฝันของเรากลายเป็นเพ้อฝันไป เราก็ซอยมันเป็นขั้นๆเป็นเป้าหมายระยะสั้นคล้ายขั้นบรรได เพื่อที่เราจะได้ก้าวไปทีละขั้นสู่ความฝันของเราได้อ่านต่อได้ที่นีครับ

http://howtoadword.blogspot.com/2007/10/blog-post.html

รู้เขารู้เรา

http://howtoadword.blogspot.com/2007/11/blog-post.html

แก้ Limited Access ใน Paypal

http://howtoadword.blogspot.com/2008/05/limited-access.html

Thursday, October 2, 2008

รับเงินทันใจกว่าเดิมด้วย Direct Deposit (Amazon)

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการรับเงินหลังจากที่เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาแล้ว กับ Amazon และมีรายได้แล้วครับ แต่คงต้องฝ่าด่านทดสอบกันอีกนิดเพราะรายได้ที่เราทำได้ในเดือนนี้ของเรา กว่าจะได้ก็อีก 3 เดือนและถ้าหากรับเป็นเช็คอีกก็ต้องนำไปขึ้นกับทางธนาคาร และรอเงินเข้าอีก 30-45 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่ช่างรันทดของคนที่ทุนน้อยอย่างเราๆ ซึ่ง Direct Deposit เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรับเงินของ Amazon โดยผ่านทางธนาคารกรุงเทพของเรา ผ่านสาขานิวยอค และสามารถเบิกขั้นต่ำได้ที่ $10 และการเปลี่ยนจากการรับแบบเช็คก็ง่ายครับแค่ Login เข้าไปใน Account และไปที่ Account Setting และไปเลือกที่-Pay me by Direct Deposit


เรียนรู้เพิ่มเติม
http://howtoadword.blogspot.com/2007/08/direct-deposit-amazon.html

Wednesday, October 1, 2008

ทำเงินสร้างรายได้กับ Amazon 4

สวัสดีครับวันนี้ก็พอจะมีเวลามา Update กันนิดนึงครับ หลังจากที่ได้คุยเกี่ยวกับการเริ่มต้นกับ Amazon และอุปสรรค์ไปบ้างแล้วหลายคนก็น่าจะทำกันได้แล้ว ทำเงินกันได้แล้วแต่เราก็คงจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้เพราะเดียวนี้อะไรหลายๆอย่าง เปลี่ยนแปลงได้เร็วมากคุ่แข็งก็เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับถ้าหากเรายังเป็นคนที่เรียนรู้ได้และต่อเนื่อง แล้วมีความพยายามวันที่เราจะสำเร็จก็มีผมเองเชื่ออย่างนั้นครับ ส่วนตัวก็ไม่ได้เก่งอะไรและ ก็ยังค่อยๆสร้างประสพการณ์ไปมีอะไรก็มาแบ่งปันกันจะได้มีเพื่อนที่ทำอย่างเดียวกันมาแชร์กันบ้างก็มีความสุขดีครับ
สำหรับผมก็ทำกับ Amazon จริงๆมาได้ 3-4 เดีอนก็ได้อะไรหลายอย่าง ที่ทำให้ได้พัฒนาไปบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยๆสิ่งที่ได้ก็1. การดูแนวโน้มความต้องการของสินค้าที่เราจะทำการโปรโมท ว่ามีความต้องการของตลาดแค่ไหนและใครจะเป็นผู้นำไปใช้บ้าง2. การเลือก Location หรือ Keywords ให้สัมพันธุ์กับหน้าร้านหรือข้อความโฆษณาของเรานั้นเอง3. การทดสอบประสิทธิภาพของข้อมูลต่างๆของเราเพื่อนำมาปรับปรุง4. การวางต้นทุนที่จะใช้ว่าเท่าไหร่ที่เหมาะสมหรือเรารับได้สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผมได้มาและก็นำไปใช้ตลอดแต่ก็ใช้ความอดทนทีเดียวเพราะหลายอย่าง มันก็ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่างปัญหาหนึ่งที่สำคัญนอกจากเรื่องเงิน คือเรื่องของภาษาต้องยอมรับว่าอ่อนมากสำหรับผม แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาของผมเพราะน่าจะเรียนรู้กันได้ จากการที่เราพยายามและต้องใช้งานเป็นประจำ และหนำซ้ำยังมีเครื่องมือที่ช่วยเราแปลได้อีกต่างหาก แล้วจะยอมให้อุปสรรค์แค่นี้มาขวางเราได้ยังไงกัน ซึ่งผมก็คิดว่ามีหลายคนละทิ้งโอกาสจากปัญหาเหล่านี้ไปบ้าง ไม่มากก็น้อยก็เลยอยากจะเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนฝ่าปัญหาเหล่านี้ไปให้ได้ครับสุดท้ายก็อยากจะฝากเพื่อนๆว่าการทำเงินในโลกของ Internet ก็ไม่ได้มีแค่ Amazon ที่เดียวนะครับ ยังมีอีกหลายที่ให้เราได้เลือกและศึกษา วิธีการสร้างรายได้ให้เราได้อีกหลายที่ อันนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะเลือกที่ไหน ในการเริ่มเรียนรู้และสัมพันธ์กับเงินทุนที่มีอยู่ได้ แต่สิ่งสำคัญหยุดอะไรหยุดได้แต่อย่าหยุดเรียนรู้ครับขอบคุณครับ